วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บ้านของฉัน

เมื่อผมกลับมามองย้อนดูสถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาแล้ว
ผมมีความรู้สึกว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้สึกผูกผันกับสิ่งใดที่มิใช่ผลประโยชน์โดยตรงของเขาเท่าไรนัก
เช่นมิได้รู้สึกว่าผืนดินบริเวณชายแดนเหล่านั้นเป็นที่ดินของตนแต่อย่างใด
เพื่อนร่วมชาติคนไหนที่ได้รับผลกระทบก็ปล่อยให้เขาแก้ปัญหากันเอาเอง
เพราะตัวเองมิได้รับผลกระทบนั้นโดยตรง จึงพากันเฉยชา ธุระไม่ใช่ ไม่สนใจติดตามหาข้อมูลหลายด้านๆ
แล้วมาเปรียบเทียบว่าข้อมูลของใครมีเหตุผล หลักฐานหนักแน่น กว่ากัน
เมื่อไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะตัดสินว่าใครพูดจริงกว่ากัน ก็จะตัดสินใจบนพื้นฐานว่าใครเป็นคนพูด
โดยจะเชื่อตามคนพูดที่เรารักชอบมากกว่า กลายเป็นสังคมทุกวันนี้ตัดสินใจบนพื้นฐานของอารมณ์มากกว่าเหตุผลไป
ในกรณีนี้ถ้าเราลองสมมติว่า เรามีบ้านหลังใหญ่มากหลังหนึ่ง มีสมาชิกในบ้านหลายคน เนื่องจากมีบริเวณกว้างขวางมาก
สมาชิกในบ้านจึงไปจ้างผู้จัดการมาคนหนึ่งเพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว
อีกทั้งยังไปจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยมากลุ่มหนึ่ง
ก็อยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวมาอย่างปรกติสุขเรื่อยมา
จนมาวันหนึ่งเกิดมีอันธพาลกลุ่มหนึ่งเข้ามาปลูกเพิงหลังเล็กๆหลังหนึ่งที่มุมพื้นที่บ้านเราเพื่อจะอยู่อาศัย
เมื่อเราพบเห็นเราก็ไปบอกผู้จัดการกับ รปภ. เพื่อให้ไปจัดการกับอันธพาลกลุ่มดังกล่าว
ผู้จัดการก็บอกว่าเดี่ยวค่อยๆเจรจากันไป ครั้งแรกๆเราก็ยอมเพราะเราเองนั้นก็ไม่อยากให้มีเรื่องอะไรกับใครเหมือนกัน
แต่พอผ่านไปกี่เดือนกี่ปีก็แล้ว ก็ยังเจรจากันไม่สำเร็จสักที
เราก็ไปเร่งรัดผู้จัดการให้รีบจัดการให้เป็นที่เรียบร้อยโดยเร็ว
ผจก.ก็บอกว่าไปเซ็นหนังสือตกลงกับเขาไว้ว่าจะไม่มีการใช้กำลังขับไล่และห้ามเขาบุกรุกเข้ามาเพิ่มเติมเข้ามาอีก
แต่ไม่เป็นไรผมยังตกลงกับเขาว่าห้ามสร้างอะไรเพิ่มเติมอีกนะ เราไม่ต้องกังวลไป
เราก็ยังให้โอกาสผจก.แก้ปัญหาตามวิธีของเขาอยู่
แต่ต่อมาอันธพาลกลุ่มดังกล่าวก็สร้างตึกขึ้นมาในที่ดินดังกล่าวแถมยังบอกว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตนไม่ใช่ของเราอีกต่อไปแล้ว
และจะยังไปขอจดทะเบียนกับทางการอีกด้วย เมื่อเรารู้ข้อมูลก็ไปเร่งรัด ผจก.ให้รีบดำเนินการแก้ไข
แต่ผจก.ก็บอกว่าไม่เสียดินแดนหรอกเราตีตนไปก่อนไข้ ใจเย็นๆ
แต่คราวนี้สมาชิกในบ้านเรา 2 คน ต้องการเข้าไปพิสูจน์ให้สมาชิกในบ้านเห็นว่าที่ดินดังกล่าวเราเสียไปแล้ว
เพราะเราคนใดก็ตามไม่สามารถเข้าไปในบริเวณดังกล่าวได้แล้ว
ก็เลยเสียสละเสี่ยงเข้าไปดินแดนดังกล่าวเพื่อพิสูจน์
ปรากฏว่าถูกจับกุม เราก็รีบไปบอกผจก.ให้ช่วยแก้ไข
ผจก.ก็บอกว่า ก็อยากไปให้เขาเองจับทำไม แถมที่ถูกจับนะเป็นบริเวณที่ดินของเขานะไม่ใช่ของเราหรอก
แต่คราวนี้เราร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยไปบอก รปภ.ของเราซึ่งมีจำนวนและอุปกรณ์มากกว่ากลุ่มอันธพาลดังกล่าวเป้นจำนวนมากนั้น
ให้ช่วยกันยกกำลังไปบอกให้กลุ่มอันธพาลออกไปจากที่ดินของเราและคืนสมาชิกในบ้านของเรากลับมาให้เราด้วย
รปภ.กลุ่มดังกล่าวก็อ้างว่า ผจก.ไปทำหนังสือตกลงกับกลุ่มอันธพาลดังกล่าวแล้วว่าห้ามใช้กำลัง พวกเขาทำอะไรไม่ได้หรอก
เราก็บอก เฮ้ยหนังสือดังกล่าวยังไม่ได้เป็นกฏหมายเลยนะเป็นแค่ข้อตกลง ทางเราซิมีกฏหมายเรื่องบุกรุกคุ้มครองอยู่นะ
ซึ่งน่าจะเหนือกว่าข้อตกลงดังกล่าวเสียด้วยซ้ำ
รปภ.ก็บอกเราว่า ถ้าอยากจะไล่ให้ไปไล่เองซิ เขาไม่ไล่ให้หรอก เขากลัวว่าตัวเขาและ/หรือลูกน้องเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บ ล้มตายได้
คำถามของผมก็คือ ถ้าคนไทยคนไหนตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้คุณจะทำอย่างไร
จะรู้สึกธุระไม่ใช่อีกต่อไปไหม
จะจ้าง ผจก.คนนี้ต่อไปไหม
จะจ้าง รปภ.กลุ่มนี้ต่อไปดีไหม
ส่วน รปภ.เมื่อคุณตัดสินใจสมัครเข้ามาเรียนในโรงเรียน รปภ.
คุณก็ต้องรู้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วไปทำงาน คุณก็อาจจะเจอปัญหาดังกล่าวได้
ถ้าคุณกลัวแล้วคุณมาเรียนเป็นรปภ.ทำไม ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับคนอื่นหรอกแต่ถ้าเขามาเรื่องกับเราก่อนละ จะทำอย่างไร
มากไปกว่านั้นอันธพาลกลุ่มนี้กำลังนำที่ดินเรา ที่เขาครอบครองอยู่ไปจดทะเบียนเพื่อเป็นเจ้าของอยู่ เราจะรอช้าอยู่ก็ไม่ได้
กรณีเช่นนี้ถ้าเป็นบ้านคุณ
คุณจะยกที่ดินให้เขาไปไหม
ถ้าไม่อยากยกที่ดินให้เขา เจรจายังไงแล้วก็ตาม แต่พูดกันไม่รู้เรื่องสักที
เพราะตราบเท่ายังเจรจากันไม่ได้ เขาก็ยังครอบครองที่ดินบริเวณนั้นอยู่ตลอดไป
แล้วไม่มีศาลยุติธรรมที่ไหนที่จะมาตัดสินคดีนี้ให้เราได้
เพราะเรานั้นได้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของศาลดังกล่าวที่เคยตัดสินให้เราเสียศาลพระภูมิให้กลุ่มอันธพาลดังกล่าวไปแล้วในอดีต
เราจะทำอย่างไรดีในกรณีนี้ ผมไม่มีคำตอบให้ แต่ละคนต้องไปคิดกันเองเพราะคุณก็เป็นสมาชิกในบ้านหลังนี้เหมือนผมเช่นกันครับ


Copy มาจาก Manager จอเหลือง

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม