วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551

เรื่องสั้น ขำๆ

1. ชายตาบอดกับหมาคู่ใจ

มีชายตาบอดคนหนึ่งเดินไปตามถนนโดยมีสุนัขคู่ใจนำทาง พอถึงสี่แยกที่มีรถพลุกพล่าน สุนัขเจ้ากรรมกลับเดินดุ่ยๆไปในถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ ชายตาบอดไม่รู้เรื่อง ก็เดินตามไป ปรากฏว่า ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องเหยียบเบรคกันเอี๊ยดอ๊าด แถมบีบแตรกันดังสนั่นกันไปทั่วทั้งถนน จนแสบแก้วหู เดชะบุญ ที่คนตาบอดและสุนัขคู่ใจก็สามารถเดินข้ามถนนไปได้อย่างปลอดภัย หลังจากยืนสูดหายใจอยู่พักใหญ่ ชายตาบอดก็เอามือล้วงหยิบขนมปังแผ่นโตออกมาจากกระเป๋า และยื่นให้สุนัขคู่ใจ ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ก็เกิดความสงสัย จึงเดินตรงรี่เข้าไปถามชายตาบอดว่า
ผู้ที่เห็นเหตุการณ์: “นี่ท่านยังจะให้รางวัลเจ้าสุนัขตัวนี้อีกรึ มันเกือบจะทำให้ท่านต้องบาดเจ็บนะ”
ชายตาบอดทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตอบว่า: “ผมเพียงแต่อยากจะรู้ว่า หัวมันอยู่ตรงไหน จะได้ตบหัวมันได้ถูก”
ผู้ที่เห็นเหตุการณ์: ???????

2. เคยตัว

เด็กน้อยลูกมหาเศรษฐีระดับโลก คนหนึ่งใช้ชีวิตเติบโตท่ามกลางกลุ่มบอร์ดี้การ์ด กับคำพร่ำสอนของพ่อที่ว่า ไปไหนก็ต้องมีคนอารักขา มิฉะนั้นเจ้าจะมีชะตาชีวิตดั่งเช่นเด็กรวยๆที่ถูกจับไปเรียกค่าไถ่ทั้งหลาย ว่าแล้วก็เปิด V.D.O. ให้ลูกดูทุกเช้าเย็นเกี่ยวกับการจับเด็กไปเรียกค่าไถ่
ใกล้เทศกาลคริสมาสในปีหนึ่ง เด็กรวยรายนี้ก็อยากจะได้จักรยานจากเซนตาคลอส จึงลงมือเขียน จ.ม. ถึงลุงแซนต้าทันที มีใจความว่า “ถึงลุงแซนต้า ผมอยากได้..” เขาเขียนได้แค่นี้ ก็ฉีกจดหมายทิ้ง แล้วเขียนใหม่ว่า “ถึงไอ้หนูแซนตาคลอส ข้าอยากได้ ..”
แล้วเขาก็ฉีกทิ้งอีกเพราะยังไม่ถูกใจ หลังจากที่คิดสักพัก เด็กน้อยก็เอาตุ๊กตากวางแรนเดียร์ ออกมา เอากรรไกรตัดหูข้างหนึ่งใส่ในซอง จ.ม. แล้วเขียนว่า “ถึงไอ้หนูแซนต้า ถ้าแกอยากจะเห็นกวางของแกอีกหล่ะก็..เอาจักรยานมาให้ข้าซะดีๆ” ฮ่ะๆๆๆ


3. มือถือนี้ของใคร?

วันนึงผมไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ใกล้ที่ทำงาน ขณะที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมหันไปมอง เห็นชายคนนึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย และนี่คือบทสนทนาของเขา
"ฮัลโหล”
"หวัดดีค่ะที่รัก ยังอยู่ที่ฟิตเนสเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ”
“ดีจัง ดาวก็ยังอยู่ที่เซ็นทรัลเลยค่ะ เจอเสื้อตัวนึงซ้วยสวย ดาวอยากได้จัง ขอซื้อนะคะ”
“แล้วราคาเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ”
“สองหมื่นกว่าเองค่ะ”
“ก็เอาสิ ถ้าคุณชอบนะ”
“แล้วชั้นล่างเค้าเอาบีเอ็มรุ่นใหม่มาโชว์ สวยมากเลยค่ะ ดาวคุยกับเซลส์แล้ว เค้าบอกถ้าจองวันนี้เค้าจะให้ราคาลดพิเศษสุดเลย…”
“เขาให้ราคาเท่าไหร่ล่ะ”
“สี่ล้านสองเอง”
“โอเค แต่บอกเขาว่าราคานี้ต้องฟูลออปชั่นนะ”
“ดีใจจังเลย แต่ยังมีอีกอย่างค่ะ…”
“อะไรล่ะ”
“คุณอย่าหาว่าดาวยุ่งไม่เข้าท่าเลยนะคะ เมื่อเช้าดาวขับรถผ่านบ้านที่เราเคยไปดูกันเมื่อสองเดือนที่แล้ว ตอนนี้เขากำลังมีโปรโมชั่น ลดราคาลงมาตั้งเยอะแน่ะค่ะ…”
“เท่าไหร่ล่ะ”
“ยี่สิบห้าล้านถ้วน แถม…”
“เงินไม่ใช่น้อยเลยนะนั่น”
“แหมที่รักคะ ราคาเต็มเข้าตั้งสามสิบล้านเชียวนะคะ”
“ผมขอคิดดูหน่อยนะ”
“ที่รักคะ วันนี้โปรโมชั่นวันสุดท้ายแล้ว และสำนักงานขายเค้าก็กำลังจะปิดแล้วด้วย ตอนนี้เซลส์เขารอให้ดาวเขียนเช็คเงินมัดจำให้อยู่น่ะค่ะ”
“ก็แล้วแต่คุณละกัน”
“โอเคนะคะที่รัก วันนี้คุณน่ารักจังขอบคุณค่ะ บ๊ายบาย”
เขาวางโทรศัพท์ไว้บนม้านั่งเหมือนเดิมแล้วถาม




“ใครรู้บ้างครับว่าโทรศัพท์มือถือนี่ของใคร!!?”




4. โอ้…พระเจ้า

ในสมัยย้อนหลังไป 10 ปี มีชายชราคนหนึ่งไปเที่ยวที่ชายหาดชะอำ ขณะกำลังเดินเล่นเลาะไปตามชายหาด ก็มีหญิงสาวสวยในชุดบิกินนี่ นอนอาบแดดที่ชายหาด ชายชราก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยความมั่นอดมั่นใจ แล้วก็เอ่ยปากกระซิบถามว่า
"อีหนู ลุงขอจับนมหน่อยได้ไหม" ตาแก่ถามแล้วทำหน้าตากระลิ้มกระเลี่ย
"ไปให้พ้นนะ ตาแก่บ้ากาม" หล่อนด่าอย่างไม่แยแส
"ขอจับนมหน่อย เดี๋ยวให้เงินร้อยนึง" ตาแก่ยังไม่ลดความพยายาม
" ร้อยนึง? จะบ้าหรือไง ไปให้พ้น!! " หล่อนไล่อีก พูดแล้วก็เมินหน้าหนี
"ขอจับนมหน่อยเหอะน่า ให้ห้าร้อยเลยเอ้า" ตาแก่ต่อรอง อย่างมีความหวัง
"ไม่ได้ไปให้พ้น" หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรเลย
"งั้นพันนึง!"ตาแก่เพิ่มวงเงิน
หญิงสาวเริ่มรู้สึกลังเล แต่แล้วก็ได้สติ "บอกว่าไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง"
"งั้นให้ห้าพันเลยเอ้า ขอจับนมแค่นิดเดี๋ยวเท่านั้น" ตาแก่ทำตาละห้อยขอร้อง
หญิงสาวนึกในใจว่า เขาแก่มากแล้ว ดูท่าทางก็ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร อีกอย่างเงินห้าพันนี่ ในสมัยโน้นก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยบอกไปว่า "ก็ได้แต่ให้จับแค่แป๊บเดียวนะลุง" ว่าแล้วหล่อนปลดสายบิกินนี่ท่อนบนออก แล้วตาแก่ก็สอดมือเข้าไปถูนวด ลูบคลำเต้านมของหญิงสาว
ลูบพลางก็รำพึงว่า "โอ พระเจ้า ! โอ พระเจ้า! โอ พระเจ้า!" ไม่ขาดปาก
ด้วยความสงสัย หญิงสาวเลยถามว่า "ทำไมลุงต้องพูดว่า โอ พระเจ้า ! โอพระเจ้า! โอ พระเจ้า! ด้วยล่ะลุง"
ตาแก่พึมพำตอบขณะที่มือยังลูบคลำบีบนวดเต้านมของหญิงสาว!โอ พระเจ้า โอพระเจ้า! โอ พระเจ้า ชาตินี้ลูกจะไปหาเงินห้าพันได้จากที่ไหน" ฮิๆๆๆๆ

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551

Delphi : ปรับขนาดฟอร์มตาม Resolution

/////////////////////{  samutpra@hotmail.com }/////////////////////
procedure AdjustResolution(oForm:TForm);
var
  iPercentage : integer;

const
  DefaultRes = 1024;  //ค่าหน้าจอตอน Design

begin
  if Screen.Width > DefaultRes then begin
    iPercentage:=Round(((Screen.Width - DefaultRes ) / DefaultRes )*100)+100;
    oForm.ScaleBy(iPercentage,100);
  end;
end;
/////////////////////{  samutpra@hotmail.com }/////////////////////

กฎประจำบ้าน

....เช้าวันแรก หลังคืนแต่งงาน....

เจ้าสาวหมาดๆของเราก็ถูกเจ้าบ่าวปลุกขึ้นมาฟังกฏบางข้อ ที่เขาบอกว่าเธอจำเป็นต้องรู้ไว้

สามี: ' ผมอยากทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน อยากให้คุณรับรู้เงื่อนไขบางประการเกี่ยวกับตัวผม เราจะได้ไม่มีปัญหากันภายหลังไงครับ

ข้อแรก ผมจะกลับบ้านเมื่อไรก็ได้ ถ้าผมอยากกลับดึก ผมก็จะกลับดึกหรืออาจจะกลับเร็วก็ได้ไม่มีใครมาบังคับผมได้

ข้อสอง เมื่อถึงบ้าน อาหารเย็นจะต้องพร้อมอยู่บนโต๊ะเสมอนอกเสียจากว่าผมจะทานมาจากข้างนอกแล้ว

ข้อสาม ผมจะออกไปสังสรรค์ กิน ดื่ม เที่ยวกับเพื่อนเมื่อไรก็ได้เท่าที่ผมต้องการ เอาละ มีแค่นี้แหละ คุณมีปัญหาอะไรมั้ย '

อู้หู...แค่เนี้ยะก็ทำเอาเจ้าสาวมือใหม่ของเราหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้งเลย

ภรรยา : อ๋อ! ไม่มีปัญหาหรอกค่ะที่รัก แต่ฉันก็มีกฏของฉันเหมือนกันนะ ซึ่งคุณจะต้องรับรู้ไว้เช่นกัน ?

( หลังจากตั้งหลักได้ เธอก็ยิ้มหวาน พูดต่อไปว่า)

........ ที่บ้านหลังนี้จะต้องมี sex ตรงเวลา 3 ทุ่มทุกคืน ไม่ว่าจะมีคุณอยู่หรือไม่ก็ตาม ?

รูตูดสำคัญกว่าสมอง ชายใดโดนชาย ตอบ สนอง จะสยองจนวันตาย

เด็กชายวัยรุ่นสองคนถูกจับในข้อหากระทำความผิดจากการเสพยาเสพติด และตัดสินให้รับโทษ

แต่ศาลให้ความปราณีโดยเข้าสถานบำบัดและออกมาทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์โดยชักจูงให้คนเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดให้มากที่สุด โดยศาลให้เวลาเด็กชายคนละ 7 วันในการชักจูง

หลังจาก 7 วันผ่านไปเด็กชายทั้งสองก็มารายงานต่อหน้าท่านผู้พิพากษา
เด็กชายคนที่ 1: " ผมชักจูงให้คนเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้ 50 คนฮับ"
ท่านผู้พิพากษา : "เก่งมาก เธอทำได้ยังไง ?"
เด็กชายคนที่ 1: " ผมวาดวงกลมวงใหญ่หนึ่งวงและอธิบายว่า นี้คือขนาดสมองก่อนที่เสพยา และวาดวงกลมวงเล็กแล้วอธิบายว่า นี้คือขนาดสมองหลังเสพยา "
ท่านผู้พิพากษา : "เธอฉลาดมาก แล้วเธอล่ะ " ท่านผู้พิพากษาหันไปถามเด็กชายคนที่ 2

เด็กชายคนที่ 2 : " ผมชักจูงให้คนเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้ 500 คนฮับ "
ท่านผู้พิพากษา : " เธอทำได้ยังไง" ท่านผู้พิพากษาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

เด็กชายคนที่ 2 : " ผมทำคล้ายๆเพื่อนผมน่ะครับ"
เด็กชายคนที่ 2 : " แต่ผมวาดวงกลมวงเล็กก่อนแล้วอธิบายว่า นี่คือรูตูดของคุณก่อนที่คุณจะถูกจับข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด จากนั้นผมก็วาดวงกลมวงใหญ่แล้วอธิบายว่า นี้คือรูตูดของคุณหลังจากที่คุณออกจากคุก "

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

" รูตูดสำคัญกว่าสมอง ชายใดโดนชาย ตอบ สนอง จะสยองจนวันตาย"

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551

ดีเป็นร้าย ร้ายเป็นร้ายกว่า

เรื่องร้าย: หนังสือโป๊หาย
ร้ายกว่า: ลูกสาวของคุณแอบหยิบไปดูกับแฟน
เรื่องร้าย: สามีของคุณแต่งกายแย่มาก
ร้ายกว่า: แต่เพื่อนยังชมว่าดูดีกว่าคุณ
เรื่องร้าย: ลูกสาวคุณเข้าร่วมพิธีบูชาซาตาน
ร้ายกว่า: ในฐานะผู้ถูกบูชายัญ
เรื่องร้าย: ภริยาฟ้องหย่าจากคุณ
ร้ายกว่า: พี่ชายเธอเป็นผู้พิพากษา
เรื่องร้าย: สามีคุณหนีออกจากบ้าน
ร้ายกว่า: ไปกับคู่ขารูปหล่อ
เรื่องร้าย: ลูกน้องที่ทำงานถูกจับกุมข้อหาเสพยาบ้า
ร้ายกว่า: เขาสารภาพว่าซื้อจากคุณ
เรื่องร้าย: มีคนเห็นคุณเริงสวาท กับชายหนุ่มในพุ่มไม้
ร้ายกว่า: คนที่เห็นคือสามีคุณ
เรื่องร้าย: เลขานุการของคุณบอก "ก็ได้ค่ะ"
ร้ายกว่า: ภริยาของคุณบอก "ห้ามเด็ดขาด"
เรื่องร้าย: คุณครูชอบลูกชายคุณมาก
ร้ายกว่า: คุณครูเป็นเกย์
เรื่องร้าย: คุณเจอวีดีโอหนังโป๊ในห้องลูกชายคุณ
ร้ายกว่า: มีภาพคุณแสดงในนั้นด้วย
เรื่องร้าย: ลูกสาวคุณมีอะไรกับหนุ่มข้างบ้าน
ร้ายกว่า: ทุกคน
เรื่องร้าย: คุณลุงทิ้งมรดกเป็นรถเก๋งซอมซ่อ
ร้ายกว่า: ให้คุณผ่อนต่อ
เรื่องร้าย: ลูกสาวของคุณไม่ยอมแต่งงาน
ร้ายกว่า: เธอรอหญิงในฝัน
เรื่องดี: คุณมีโอกาสหลบงานมาเล่นจ้ำจี้ที่บ้านตอนกลางวัน
เรื่องร้าย: ภริยาคุณกลับมาพอดี
เรื่องดี: บริษัทหยุดพิเศษประจำปี 4 วัน
เรื่องร้าย: คุณท้องเสียตลอดวันหยุด
เรื่องดี: คุณได้รับตั๋วชมระบำโป๊แถวหน้า
เรื่องร้าย: ลูกสาวคุณเป็นดารานำ
เรื่องดี: ลูกสาวคุณรู้จักวิธีคุมกำเนิดอย่างดี
เรื่องร้าย: เธอกินยาคุมทุกวันทั้งที่เพิ่งอายุสิบสี่

เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส


แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !
แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมด
สิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหาร
ดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้าน
กาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขา

ชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควร
แต่เขา กลับเลือกใช้เวลานั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขา
เขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธ
เขาเปลี่ยนความ คิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอ
เพราะเขา รักและคิดถึงเธอเหลือเกิน
เขาใช้เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตน
เขาวางแผน ทุกขั้นตอนละเอียดยิบ คำนวณทุกฝีก้าว
ในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลง
เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ ของภรรยาของ
เขา
เฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียม พร้อมที่จะ "ลักพาตัวเธอ!"

แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนก
อยู่บ้าง
แต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขา มีต่อลูก เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา
...
วันนั้นลูก สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลย

แม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลว
เขารู้สึกเหมือนคนที่ พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่า
และเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะ ต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิต

แต่เหมือนปาฏิหาริย์ ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้
พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65
ปี

วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์
( ราวสี่พันบาท)
เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว
ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาล

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้
ชีวิต ของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนาน

เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแล
เขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า " จะฆ่าตัวตาย "
เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่ง
นั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรม

แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญา
เขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมี และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่
เหลืออยู่
เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสัก
อย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)

เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้
บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหาร
ชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้ง
ในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จ

เขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคน
และทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขา

เขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกัน
สังคมฉบับต่อไปของเขา
ด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและ ไก่จำนวนหนึ่ง

จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงาน
ที่ร้านกาแฟนั้น

เขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขา

แล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส
ราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเอง

ตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปี
เขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ

เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จ
ที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้น
ผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรก
ตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน

จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ
มันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะ "สู้ต่อ" หรือ "ยอมแพ้"

สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จ

แล้วชีวิตของคุณหละ ล้มเหลวมากพอหรือยัง ?
****
ขอขอบคุณ นิตยสาร Financial Freedom เอื้อเฟื้อบทความ

ROVERR

หนุ่มน้อยชื่อ ดอน.....พาแฟนสาวไปกินข้าวที่ร้านอาหารจีนชื่อดังของย่านเวอร์จิเนีย...
อาหารรสชาดดี แต่ว่ามันเผ็ดไปสักหน่อยสำหรับหนุ่มเมริกันอย่างเขา.. จึงทำให้ท้องไส้เกิดอาหารไม่ค่อยจะดีในตอนขับรถกลับบ้าน...

ตอนแรกดอนคิดว่าจะแวะที่ร้าน Mc Donald ริมทาง แต่ก็กลัวจะเสียฟอร์ม ก็เลยตัดสินใจว่า..ไม่เป็นไรน่า เด๋วพอส่งแฟนสาวกลับบ้านแล้วค่อยแวะทีหลังก็ได้......

พอถึงบ้าน แทนที่แฟนสาวจะยอมเข้าบ้าน กลับคะยั้นคะยอให้ดอนเข้าไปพบพ่อแม่ของเธอสักหน่อย เพื่อทำความรู้จัก ตอนนั้นดอนพยายามกลั้นแก๊สที่มันจะออกมาเต็มทน แต่ก็ทนแฟนรบเร้าไม่ไหว...ก็เลยตกลงว่าจะเข้าไปสวัสดี พ่อแม่ของเธอสักหน่อย...แล้วรีบกลับออกมาปล่อยแก๊สหน้าบ้านให้สบายท้องไปเรย......

พอเข้าไปนั่งในบ้าน..พ่อของแฟนสาวเป็นทหารเรือเก่า..พูดจาเสียงดัง แต่ท่าทางใจดี..พ่อก็เข้ามาทักทายเป็นอย่างดี พร้อมทั้งแนะนำแม่..และหมาตัวสีขาวน่ารักชื่อ Rover.... เจ้าโรเวอร์ ก็ช่างแสนรู้..เข้ามากระดิกหางแล้วหมอบอยู่ตรงเท้าของดอน..ไม่ไปไหน...ส่วนดอนนั้น..อาการเริ่มแย่ลง..จนทนไม่ไหว จะต้องปล่อยให้แก๊สส่วนหนึ่งระบายออกมาซะบ้าง.. เขาคิดว่า..ไม่เป็นไรน่า..เจ้าโรเวอร์อยู่ใกล้ ๆ ..ขอมั่วซะหน่อย..คิดแล้วก็ค่อย ๆ ระบายแก๊สออกมาส่วนหนึ่ง..แต่ก็ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วทีเดียว..ทุกคนทำหน้าเลิ่กลั่ก ๆ ดอนก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้..มองไปที่เจ้าโรเวอร์...คุณพ่อก็จึงส่งเสียงดุออกมาว่า........." ROVER !!!!"

ดอนก็ค่อยสบายใจ..ถึงแม้จะละอายใจที่ต้องป้ายความผิดให้หมาก็ตาม..เขาจึงปล่อยส่วนที่เหลือออกมาครึ่งนึง... กลิ่นเหม็นก็แรงขึ้นกว่าเดิม...คุณพ่อก็ดุเสียงดังขึ้น..." ROVERRR !!!"

ถึงตอนนี้..ดอนกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว..ก็เลยปล่อยออกมาจนหมดโหลด..ในใจก็นึกขอโทษเจ้าหมาน้อยน่ารัก...ตอนนี้คุณพ่อถึงกับลุกขึ้นยืน...จ้องเขม็งมาที่เจ้าหมาน้อย แล้วดุเสียงดังสนั่นว่า....

" ROVERRRRRRRR !!!!!!!!!! ....ยังไม่ลุกมาอีก... เด๋วมันก็ขี้รดหัวเอาหรอก...!!!! "

The END......

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม