วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551

จดหมายถึงโชติ...

โชติศักดิ์เอ๋ย!!! โลกใบนี้มีความเสมอภาคจริงหรือ? คุณต้องการความเสมอภาคทุกเรื่องเลยหรือ? สิทธิเสรีภาพที่คุณไขว้คว้าเรียกร้องนั้นมันต้องทุกเรื่องเลยหรือ? คุณต้องการอะไร? สิ่งที่คุณเรียกร้องนี้แค่สิทธิเสรีภาพเท่านั้น จริงหรือ? มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และตราบใดที่คุณยังอยู่ในสังคม ธรรมชาติย่อมสร้างกฏของสังคม เป็นสัจธรรมหรือความจริง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาบ่มเพาะอย่างยาวนาน มีที่มาที่ไป
ความจริงโดย ธรรมชาติ ก็คือ คุณจึงอย่าหวังว่าสิทธิและเสรีภาพของคุณจะไม่มีข้อจำกัด นอกเสียจากว่าคุณจะละทิ้งสังคม แล้วใช้ชีวิตอยู่คนเดียว นั่นสิ สังคมจึงจะไม่มีอิทธิพลต่อคุณ และคุณจะได้ไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม? .....คุณเป็นนักศึกษา ลองหาหนังสือหรือตำราทางประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาติไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กว่าจะมาถึงวันนี้ สังคมที่หลอมรวมบรรพบุรุษของเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไทยได้และต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง บทเรียนความช้ำใจก็เพราะคนไทยไม่รักกัน ประเด็นเล็กน้อยแต่สร้างความแตกแยกได้มหาศาล....
หากคุณจะรักและเทิดทูน ใครสักคน มันมีที่มาที่ไปและต้องใช้เวลาบ่มเพาะทางความรู้สึกอย่างยาวนาน อย่างแรก คนที่คุณจะรักต้องเป็นคนดี และทำคุณประโยชน์เพื่อส่วนรวม คุณมองเห็น ถามว่าทำไมเราต้องรักและเทิดทูนกษัตริย์ มองด้วยใจเป็นธรรม วิเคราะห์ด้วยภูมิความรู้แห่งตน ก็เพราะท่านเป็นคนดี ชีวิตท่านทำเพื่อส่วนรวม เพื่อสังคมของเรา ซึ่งก็คือ “ชาติไทย” ..........หากสิ้นชาติไทยแล้วไซร้ สิทธิเสรีภาพของพวกคุณมันจะมีอยู่จริงหรือ?.
คุณไขว่คว้าสิทธิเสรีภาพและ ความเสมอภาพ ซึ่งมันไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติของสังคมมนุษย์ ลองตรองดูหากทุกคนมีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ได้ตามใจ สังคมจะเป็นเยี่ยงไร จะสับสนอลหม่านเพียงไหน ............อย่าคิดว่าสิ่งที่เราทำเพื่อกษัตริย์มากมาย เป็นการให้อภิสิทธิ์แก่ท่าน แต่โปรดรับรู้ไว้ว่า สิ่งนั้นคือการเทิดทูนยกย่องคนดี ด้วยความต็มใจ เป็นแบบอย่างให้อนุชนได้รับรู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สังคมต้องมีหลักยึดเหนี่ยว สังคมต้องมีศูนย์รวม หากปราศจากศูนย์รวมแล้วไซร้ สังคมไทยย่อมแตกแยก มลายลง นั่นคือกลียุค.....
ทุก วันนี้นักการเมืองมากมาย นายทุนทั้งหลาย ก็พวกอภิสิทธิ์ชนทั้งนั้น ขายชาติ ปล้นประชาชน โกงกินสารพัด ไม่เห็นคุณจะไปเรียกร้องสิ่งใดหรือหาทางรณรงค์จัดการกับคนพวกนี้ โชติศักดิ์เอ๋ย!!! ถามว่าคนพวกนี้เท่าเทียมกับพวกเราจริงหรือ? ................ระหว่างที่เราต้องยอมสยบให้นักการเมืองและนายทุนเลวๆใน สังคม กับการที่เราจะยกย่องและเทิดทูนคนดีที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเอง นอกจากทำเพื่อชาติและประชาชน สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แผ่นดิน... ผมขอเลือกอย่างหลังด้วยความเต็มใจ แล้วคุณล่ะ จะเลือกสิ่งไร?
ตลอด ชีวิตของคุณที่ผ่านมา อย่าปฏิเสธเลยว่าคุณมิได้รับรู้ว่าท่านเป็นเช่นไร .......แต่เพราะอคติในใจคุณ และเพราะ............อีกหลายๆอย่างที่คุณย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าคุณทำเพื่อสิ่ง ไร? ขบวนการของคุณ อุดมการณ์ของคุณ กำลังย่ำยีชาติไทยและหัวใจของคนไทย วันนี้คุณอาจจะไม่รักท่านด้วยใจ ก็ไม่เป็นไร แต่คุณสามารถมองได้ด้วยธรรมในใจคุณ หากคุณยังพอจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง คุณต้องใช้เหตุผลในการมอง เปรียบเทียบดู กับสิ่งที่ท่านทำเพื่อสังคมเพื่อชาติไทยของเรา และสิ่งที่คุณพอจะทำให้ท่านได้บ้างด้วยการยกย่องเทิดทูนท่าน แสดงความเคารพในบุคคลที่ควรเคารพ มันยากและลำบากนักหรือ? ......
สังคม ไทยเป็นสังคมแห่งการให้อภัย หากคุณก้าวพลาดก็จงถอยหลังกลับมา.......อย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร ลดอคติในใจคุณ มองทุกอย่างกลางๆ ทางสายกลาง คือทางแห่งเหตุผลและปัญญา .........ยอมรับว่าคุณมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ แต่วิเคราะห์ให้คุณเห็นว่า สิทธิและเสรีภาพอันน้อยนิดที่คุณต้องการนั้น สร้างปัญหาให้กับสังคมและประเทศชาติได้มากมาย คุณยังจะต้องการมันอีกหรือ เมื่อคุณชั่งน้ำหนักแล้วว่าสิ่งที่คุณต้องการนั้นมีโทษมากกว่ามีคุณ .........
โชติศักดิ์เอ๋ย!!! ประเทศชาติต้องการความกล้าของคุณ แต่คุณต้องปรับเปลี่ยนนำมาใช้ในทางที่สร้างสรรค์ คุณเป็นคนมีพลัง โปรดจงใช้พลัง เพื่อตอบแทนคุณของแผ่นดิน โปรดช่วยดึงพี่น้องผองพี่ที่ตกอยู่ในขบวนการเบื้องหลังคุณคืนมา คืนมาให้สังคม ปรับเปลี่ยนวิธีคิด เพื่อออกมาจากความหลงผิด ......ร่วมกันสร้างความสามัคคีให้สังคม พลังของคุณยังทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ได้โปรดช่วยกันทำลายและเปิดโปงขบวนการที่ชักนำคุณมา .......คุณรู้อยู่ว่าขบวนการนี้มีใครบ้าง ณ เวลานี้คุณมีโอกาสแก้ตัวและตอบแทนแผ่นดินไทยแล้ว ด้วยการเลิกสร้างความแตกแยก และหาทางหยุดยั้งขบวนการที่ทำลายสังคมไทย...พาผู้หลงผิดกลับคืนมา ....
อย่า เถียงและอย่าเรียกร้องเรื่องสิทธิเสรีภาพจอมปลอมกันนักเลย แต่โปรดใช้ปัญญาตรองดู ว่าการกระทำสิ่งใดจะทำให้สังคมสงบสุข.....หากคุณเป็นพุทธศาสนิกชน โปรดรู้ไว้ว่า ความกตัญญูกตเวที นำมาซึ่งความเจริญ และความอกตัญญูนั้นนำมาซึ่งความเสื่อม การสร้างความแตกแยกให้กับสังคม การหลงมัวเมาอยู่กับความเชื่อที่มีโทษมากกว่ามีคุณ การปล่อยตัวไปกับอคติ เหล่านี้ ล้วนเป็น “บาป” ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น คุณจะสะสม “บาป” ไปทำไม
หาก คุณต้องการจะฝากชื่อในแผ่นดินนี้ คุณต้องทำความดีให้ปรากฏ สังคมไทยก็พร้อมจะยกย่องคุณ ....มันขึ้นอยู่กับคุณว่าต้องการ “การยกย่องสรรเสริญ” หรือการ “สาปแช่ง” ผมมิได้มิอคติกับคุณ เพียงแต่อยากช่วยชี้ทางสว่างและดึงคุณกลับมา เพราะคุณกำลังหลงทาง ......โชติศักดิ์เอ๋ย!!! โปรดใช้ปัญญาคิด ตรองดู เลิกสร้างความแตกแยก และหาทางหยุดยั้งขบวนการที่ทำลายสังคมไทย...พาผู้หลงผิดกลับคืนมา หากคุณทำได้ คุณนั่นแหละคือฮีโร่ตัวจริง .......แต่....หากทำไม่ได้....โปรดจงรู้ไว้ว่า “บาป” จะตามติดตัวคุณไป ตลอดกาล.....

จากสัญญา โศภาอรุณรุ่ง (ศิษย์เก่า มธ.)
สัญญา โศภาอรุณรุ่ง / sanyas@ratchgen.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551

ถ้าคุณเป็นภรรยา...แล้วเจอเรื่องแบบนี้..จะทำยังไง

ดิฉันแต่งงานเมื่อ พ.ศ. 2534
และได้อยู่กินกับสามีด้วยดีจนมีลูกสาวนและลูกชายอย่างละคน
ชีวิตก็มีความสุขดี มีรถยนต์ มีบ้านในเนื้อที่ 110 ตารางวา บนถนนแจ้งวัฒนะ
ดิฉันมีน้องสาว 1 คนเค้าไปได้สามีที่มีเมียหลวงอยู่แล้ว ตอนหลังเค้าเลิกกัน
เขามาหาดิฉัน
ดิฉันก็ให้น้องสาวมาอยู่ด้วยกัน แต่ว่ามาคนเดียวนะคะ ส่วนลูกๆอยู่กับสามีเขา
 
น้องสาวมาอยู่กับดิฉันได้หลายปี *จนมาวันหนึ่งหัวใจดิฉันเกือบสลาย*
คือสามีดิฉันจะเลิกงานเวลา 24.00 น. และในเวลา 00.45 น.
ดิฉันได้ยินเสียงรถของสามีมาถึงบ้านแล้ว
 
แต่ดิฉันหลับต่อมาตกใจตื่นตอนตี 2 กว่านิด หน่อย ไม่เห็นสามีนอนอยู่
ลุกขึ้นไปดูที่ห้องลูกๆก็ไม่มี ในห้องน้ำก็ไม่มี ใจหายวาบ
รีบลงมาที่โซฟาข้างล่างก็ไม่มี รถยนต์ก็จอดอยู่แต่สามีดิฉันไปไหน
*มองที่ประตูบ้านก็ใส่กลอนอยู่*
ดิฉันหัวใจเต้นแรงมาก *เหลืออยู่ห้องเดียวคือ...ห้องน้องสาว..*ของดิฉัน
ดิฉันเดินไปเปิดไฟจนสว่างทั่วบ้าน หัวใจเต้นแรงผิดปกติ อยากจะเป็นลม
แล้วมองไปที่ห้องของน้องสาวแล้วพยายามตั้งสติคิดในใจว่า
ถ้าเขาเดินออกมาจากห้องนั้นดิฉันจะทำอย่างไร
ดิฉันนั่งมองประตูห้องของน้องสาว น้ำตาจะไหล นึกในใจว่า จะทำอย่างไร?
เราจะทำอย่างไรดี ลูกก็ยังเล็ก ดิฉันตัดสินใจ?เลิก?
แล้วให้เขาไปอยู่กับน้องสาวที่อื่นส่วนดิฉันจะอยู่กับลูก
คือยกสามีให้น้องสาวไปถ้าเขารักกัน
จนประมาณตี 3 กว่าๆ ดิฉันในใจว่าถ้าดิฉันโทรฯ เข้ามือถือเขา
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ต้องดังออกมาจากห้องน้องสาวแน่ๆเลย
เป็นไงเป็นกันดิฉันตัดสินใจโทรฯแล้วก็ติดจริงๆค่ะ
ใจดิฉันเต้นแรงจนเกือบหลุดออกมาข้างนอก
ดิฉันยืนแอบอยู่หน้าห้องน้องสาว....
แต่เอ๊ะไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังออกมาจากในห้องของน้องแต่โทรฯติด
เขาอยู่ใหน?
ฮัลโหล??
เธออยู่ไหน? ดิฉันตวาด

อยู่ในรถจ้ะ ก็เธอใส่กลอนในบ้าน เข้าบ้านไม่ได้ ช่วยเปิดให้ หน่อย สิจ้ะ ?
เฮ้อเบื่อตัวเองจริงๆ

---

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551

ผมโดนด่าว่าควาย

จากเรื่อง จริงของใครบางคนครับอ่านแล้ว คิดดูนะครับ

ขณะที่ผมกำลังขับรถเดินทางไปจังหวัดลำปางซึ่งเป็นทางคดเคี้ยวบนเขาจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษทันใดนั้นเองผมเห็นรถโผล่พ้นเหลี่ยมเขาซึ่งเป็นทางโค้งวิ่งมาด้วยความเร็วลักษณะส่ายไปมาแถมยังกินเลนเข้า มายังถนนฝั่งของผมทำให้ผมต้องเบรกจนตัวโก่งพร้อมกับหักรถหลบลงไหล่ทาง
คนขับเป็นผู้หญิง ก่อนที่รถจะสวนกันเขาก็ชะโงกหน้าออกจากรถแล้วตะโกนด้วยเสียงดังว่า ' ควาย...ย...ย'
มันทำให้ผมโมโหมากจึงตะโกนสวนออกไปว่า' E... ค...ว...า...ย'

ขี่รถผิดกฎจราจรจนเกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่พอยังมาด่าเราอีกยังดีนะที่เราด่ามันทันก่อนที่มันจะขับรถสวนพ้นไป

มัวแต่นึกแค้นใจที่ถูกด่าอยู่นั้นทันทีที่ผมขับรถพ้นเหลี่ยมเขา' เอี๊ยด...เอี๊ยด...โครม... ' รถผมก็ชนควายเข้าอย่างจัง

( ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ด่าเรา แต่เขาบอกเราว่ามีฝูงควายอยู่ข้างหน้าเพราะกรอบความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ของเราทำให้เราเข้าใจผิดคิดว่าความหวังดีที่เตือนให้ระวังเพราะมีควายอยู่ข้างหน้า กลายเป็นการคิดว่าถูกด่าว่าเป็นควาย )
นี่คือโทษของการคิดอยู่แต่ในกรอบ และมองโลกในแง่ร้ายเสมอ

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551

The meaning of Wife

คำว่า "ภรรยา" ในภาษาไทยนั้น หากเป็นภาษาอังกฤษ เขียนว่า Wife โดยที่เราสามารถแยกอักษรแต่ละตัวออกมา และมีความหมายเช่นเดียวกันกับคำว่า



Family (Father And Mother I Love You)





จากการแยกความหมายตามตัวอักษรได้ความว่าดังนี้

W ย่อมาจาก without แปลว่า นอกเหนือจาก

I ย่อมาจาก Information แปลว่า การแจ้งให้ทราบ

F ย่อมาจาก Fighting แปลว่า การต่อสู้ (ทะเลาะ)

E ย่อมาจาก Everyday แปลว่า ทุกๆวัน




นำคำทั้งหมดที่ได้มารวมกันเป็นประโยคแล้วก็จะได้ว่า



Without Information Fighting Everyday



คำว่าเมีย เอ๊ย ภรรยา จึงแปลเป็นไทยได้ใจความว่า


"หาเรื่องทะเลาะได้ทุกๆวัน โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า(ไม่มีเหตุผล)"





จบข่าว ………………………..ไปแว๊วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

อยากให้อ่าน ดีมาก (เรื่องจริงของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ)

มีคนเล่าให้ฟังว่า... สมัยก่อน...คุณพงษ์เทพ
กระโดนชำนาญ...ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต..
แกอยู่ในป่า...กับเพื่อน 5 - 6 คน...

ทุกวันก็จะเปลี่ยนเวรกัน...ล่าสัตว์ป่า...มาทำอาหาร...

วันหนึ่ง...เป็นเวรของคุณพงษ์เทพ
แกก็คว้าปืนยาว...สะพายบ่า...เดินเข้าป่าไป...
อาหารโปรดของคุณพงษ์เทพ...คือแกงเนื้อลิง...

พอเดิน เข้าป่าไปได้สักพัก.

เห็นลิงตัวหนึ่ง...นั่งอยู่บนต้นไม้...หันหลังให้..
แกก็รีบยกปืนประทับบ่า...ยิงเปรี้ยง...ไปที่ตัวลิง..

เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดขึ้น...ป กติ...ลิงพอถูกยิง..จะหล่นตุ๊บ...จาก   ต้นไม้ทันที...

แต่ลิงตัวนี้...นั่งจับกิ่งไม้เฉย...ไม่หล่นลงมา...จะว่ายิงไม่ถูก...ก็ไม่
น่าเป็นไปได้...
เพราะคุณพงษ์เทพ...แกยิงปืนแม่น...ระยะแค่นี้
เป้าใหญ่ขนาดนี้...ไม่พลาดแน่นอน...
ในขณะที่กำล ั งสงสัยอยู่นั้น...ลิงตัวที่ถูกยิง...ร้อง
โหยหวน...เสียงดังมาก... ฝูงลิงที่แยกย้ายกันออกหากินอยู่บริเวณใกล้ๆ...
วิ่งแห่กันเข้ามาหาลิงตัวที่ถูกยิง... แล้วร้องโหยหวน...เหมือนกัน
หมด...

แกตกใจ...ยืนตกตะลึง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

สักครู่...ลิงตัวที่ถูกยิง... โยนวัตถุเล็กๆ...
สีดำ ๆ..ชิ้นหนึ่ง...ให้กับลิงตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด...
แล้วก็หล่นตุ๊บ...ลงมาจากต้นไม ้...คุณพงษ์เทพ...รีบวิ่งไปดู...
ลิงถูกยิงเข้าที่หลัง...
ทะลุหน้าอก...เลือดแดงฉาน..เต็มตัว...
 คุณพงษ์เทพเห็นแล้ว...ต้องเบือนหน้าหนี...
ลิงที่ตกลงมา...เป็นลิงแม่ลูกอ่อน...ขณะที่ถูกยิง...เธอกำลังให้นม ลูก...

ลูกตัว น้อย...กำลังดูดนมอย่างมีความสุข...ทันทีที่ถูกยิง..
ถ้าเป็นลิงตัวอื่น...
จะหล่นตุ๊บ...ลงจากต้นไม้..

แม่ลิงตัวนี้...ยังหล่นไม่ได้...ยังตายไม่ได้..

เพราะเธอยังมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ...คือ...รักษาชีวิตลูกน้อย...ให้พ้น < /TT>
อันตราย...
เธอกัดฟัน...โหนกิ่งไม้ไว้...แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ...มองดูเลือดที่ไหลหยดเป็นทาง
ด้วยความตกใจ...พยายามรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมีเหลือทั้งหมด...
ตะโกนสุดเสียง...ร้องเรียก...ฝูงลิงเข้ามาใกล้ๆ..
แล้วก็ฝากฝัง...ให้เลี้ยงลูกน้อยแทนเธอ

หลังจากโยนลูกให้จ่าฝูงแล้ว...มองดูลูก...ถูกพาไปจนลับสายตาแล้ว..
แน่ใจว่า...ลูกปลอดภัยแล้ว...จึงหลับตา...แล้วหล่นลงมา...ตาย..

คุณพงษ์เทพ...ก้มมองหน้าลิง..แล้วร้องไห้...เพราะที่เบ้าตาลิง...มี
หยดน้ำตาใส   ๆ.
กำลังไหลริน...คุณพงษ์เทพ..รีบเดินกลับที่พัก...เอาปืนไปเผาทิ้ง...
ไม่ยอมออกล่าสัตว์อีกเลย...ตลอดชีวิต..

และภาพความรักที่ยิ่งใหญ่..ของแม่ลิง...ที่มีต่อลูกน้อย ...
เป็นแรงบันดาลใจ.
ให้พงษ์เทพ...แต่งเพลงขึ้น มาเพลงหนึ่ง...
ชื่อว่า... ' ลิงทะโมน... '
เพื่อยกย่อง...เชิดชู...คุณค่าของความรัก...ที่แม่...มีต่อลูก

*****************

แม่นะหรือ... คือผู้สร้าง ทุกสิ่ง อันยิ่งใหญ่
คือผู้รัก ลูกตน กว่าใครใคร
คือผู้คอย ห่วงใย ทุกเวลา

คือคนร้อน เมื่อลูกรุ่ม
กลุ้มเรื่องทุกข์
คือคนสุข เมื่อลูกนั้น มีหรรษา
 คือคนปลอบ เมื่อลูกเหงา เศร้าอุรา
คือคนคอย ให้เมตตา ลูกทุกคราว

เป็นสายฝน คอยช่วยให้ ลูกสดชื่น
เป็นผ้าผืนคอยห่มให้ เพื่อคลาย ห นาว
เป็นกระโถน คอยรับทุกข์ ทุกเรื่องราว
เป็นบันได ไต่ดาว ลูกก้าวไป

เป็นคุณครู ผู้สอนสั่งทุกอย่างหนอ
เป็นคุณหมอ คอยรักษา จะหาไหน
เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ได้ดั่งใจ
จะหาใครได้เท่าแม่เหมือนไม่มี

สาธยาย อย่างไร คงไม่หมด
พระคุณแม่ ยากแทนทด เหมือนปลดหนี้
สิ่งล้ำค่า
ใดใด ในปฐพี
จะเทียมเท่า คุณแม่นี้ ไม่มีเอย.


----- จบการส่งต่อข้อความ -----

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม