วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

What Is Intelligence, Anyway? จากหนังสืออัตชีวประวัติของ ไอแซค อสิมอฟ

เมื่อตอนที่ผมยังเป็นทหาร ผมทำแบบทดสอบอันหนึ่งได้คะแนน 160 จากค่าปกติที่ 100 ไม่มีใครเลยที่ฐานเคยเห็นตัวเลขแบบนี้มาก่อน แล้วพวกเขาก็มาวุ่นวายกับผมต่อไปอีกสองชั่วโมง

(มันไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก วันรุ่งขึ้น ผมก็ยังเป็นพลทหารเหมือนเดิม โดยมีตำแหน่ง “ผู้ตรวจครัว” เป็นหน้าที่สูงที่สุดเท่าที่เคยได้รับมอบหมาย)

ตลอดชีวิตของผม ได้คะแนน “ความฉลาด” ในลักษณะอย่างนั้นเสมอๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกพึงพอใจมากที่ตัวเอง ฉลาดเป็นกรด แล้วก็อยากให้ผู้คนเข้าใจอย่างนั้นเสียด้วยซิ

แต่ที่จริงแล้ว การได้คะแนน “ความฉลาด” สูงนั้น อาจเป็นไปเพราะผมตอบคำถามในแบบที่ผู้ที่ทำการทดสอบให้คุณค่าสูง อาจเป็นเพราะผู้ทำการทดสอบเป็น “คนฉลาด” แบบที่ผมเป็นนะ

ยกตัวอย่างเช่น มีช่างซ่อมรถยนต์คนหนึ่งมาทำ การทดสอบแบบนี้ด้วย ดูท่าทางแล้วคงจะได้คะแนนไม่เกิน 80 หรอก ผมฉลาดกว่าเขามากมายอย่างแน่นอน (ฮาๆๆๆ)

แต่ทุกคราวที่รถผมเสีย ผมต้องรีบแจ้นไปหาช่าง เฝ้าดูเขาตรวจสอบหาสาเหตุ ฟังเขาบ่นพึมพำเหมือนท่องมนต์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเขาก็แก้รถผมได้สำเร็จทุกครั้งไป

ทีนี้ ถ้าหากช่างซ่อมรถเป็นผู้ทำการทดสอบ ความฉลาดล่ะ

หรือว่า ถ้าช่างไม้ ชาวไร่ชาวนา หรือแม้กระทั่งคนทั่วไป เป็นผู้ออกข้อสอบการวัดความฉลาด ล่ะ ผมก็จะกลายเป็นไอ้งั่งไปในทันที

ในโลกที่ผมไม่สามารถใช้ความสามารถทางวิชาการ หรือไม่สามารถใช้ทักษะทางภาษาของผม แต่ต้องทำการทดสอบที่ยุ่งยาก สลับซับซ้อน ต้องใช้มือทำ ผมคงแย่

ความ ฉลาดของผม จึงไม่ได้เป็นค่าสัมบูรณ์ แต่เป็นเพียงคุณค่าหนึ่งซึ่งแปร ผันตามสังคมที่ผมอยู่ และเป็นความจริงที่ว่าเพียงเสี้ยวเดียวของสังคม ใหญ่ ที่มีอิทธิพลต่อสังคมทั้งมวล ก็จะเป็นกลุ่มที่กำหนดคุณค่า(ของ ความฉลาดหรือคุณค่าในมิติอื่นๆ ของสังคม)

กลับมาที่ช่างซ่อมรถของผมอีกครั้งหนึ่ง

เขาชอบเล่าเรื่องตลกให้ผมฟังทุกครั้งที่ได้เจอกัน

มีอยู่คราวหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมาจากกระโปรงรถแล้ว พูดว่า “ด็อก มีชายหูหนวกและเป็นใบ้คนหนึ่ง เดินเข้าไปในร้านขายของเพื่อหา ซื้อตะปู เขาเอาสองนิ้ววางไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วเอาอีกมือหนึ่งทำท่าตอกตะปู”

คนขายของไปหยิบฆ้อนมาให้ เขาส่ายหัวเป็นสัญญาณว่าไม่ใช่ แล้วก็เอามือที่ทำเป็นฆ้อนชี้ไปที่สอง นิ้วที่อยู่บนเคาน์เตอร์ นั่นแหละคนขายของถึงได้ไปหยิบตะปูมาให้ เลือก ซึ่งเขาก็เลือกขนาดที่ต้องการแล้วจากไป ลูกค้ารายต่อไปก็เข้ามา ทีนี้ลูกค้ารายนี้ตาบอด เขาอยากได้กรรไกร แล้วจะสื่อความกันยังไงล่ะ?”

โดยไม่ต้องคิดเลย ผมยกสองนิ้วขึ้นมา ทำสัญญาณกรรไกรเหมือนเวลาเล่นเป่า-ยิ้ง-ฉุบ

ช่างซ่อมรถระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอึกทึกในทันที แล้วบอกว่า “โธ่ โง่จัง เขาก็ใช้ปากบอกคนขายนั่นแหละ”

แล้วเขาก็อวดอีกว่า “ผมพยายามเล่นมุกนี้กับลูกค้าทุกรายของวันนี้เลยนะ” ผมถาม “แล้วมีใครหลงกลไหม?” เขาว่า “ก็มีบ้างล่ะ แต่ผมมั่นใจว่าคุณเสร็จผมแน่!”

“ทำไมล่ะ” ผมถาม “ก็เพราะคุณมีการศึกษาสูงน่ะซิ ด็อก ดังนั้นคุณไม่ฉลาดแน่ๆ”

ผมเดินออกจากอู่มาด้วยความรู้สึกไม่สบายนัก และช่างซ่อมรถผู้นี้มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเลย

จาก fwd mail

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม